ความเป็นมาของ OOP
แนวคิด OOP ไม่ใช่ของใหม่ แต่มีมาพร้อมๆ กับการเริ่มต้นของวิทยาการคอมพิวเตอร์ ในปี ค.ศ. 1960 นักเขียนโปรแกรม คิดค้นภาษา Simula (อ่านว่าซิมูลา) สำหรับเครื่อง UNIVAC ซึ่งเป็นภาษาแรกที่มีคุณสมบัติในการทำ OOP และอีกสามปีต่อมา นักศึกษาที่สถาบัน MIT อีวาน ซัทเธอร์แลนด์ (Ivan Sutherland) สร้างซอฟท์แวร์ชื่อ Sketcpad เป็นโปรแกรมประยุกต์ทำหน้าที่ช่วยการออกแบบ (CAD) มันเป็นโปรแกรมแรกที่นำ “การปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้ด้วยภาพ” (Graphic User Interface หรือ GUI) มาใช้อย่างสมบูรณ์ และการออกแบบสร้างก็ทำโดยใช้หลักการ OOP อย่างเต็มรูปแบบ
แนวคิด OOP ไม่ใช่ของใหม่ แต่มีมาพร้อมๆ กับการเริ่มต้นของวิทยาการคอมพิวเตอร์ ในปี ค.ศ. 1960 นักเขียนโปรแกรม คิดค้นภาษา Simula (อ่านว่าซิมูลา) สำหรับเครื่อง UNIVAC ซึ่งเป็นภาษาแรกที่มีคุณสมบัติในการทำ OOP และอีกสามปีต่อมา นักศึกษาที่สถาบัน MIT อีวาน ซัทเธอร์แลนด์ (Ivan Sutherland) สร้างซอฟท์แวร์ชื่อ Sketcpad เป็นโปรแกรมประยุกต์ทำหน้าที่ช่วยการออกแบบ (CAD) มันเป็นโปรแกรมแรกที่นำ “การปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้ด้วยภาพ” (Graphic User Interface หรือ GUI) มาใช้อย่างสมบูรณ์ และการออกแบบสร้างก็ทำโดยใช้หลักการ OOP อย่างเต็มรูปแบบ
การพัฒนาภาษา Simula สำหรับเครื่อง UNIVAC ในปี ค.ศ. 1960
ดูเหมือนว่าวิวัฒน์ของ OOP และ GUI จะเกี่ยวพันกันอยู่เสมอเพราะต่อมาในปี ค.ศ. 1970 เมื่อศูนย์วิจัยของซีร็อกซ์ ที่ พาโล-อัลโต ต้องการสร้างระบบปฏิบัติการแบบ GUI (ที่ต่อไปจะเป็นบรรพบุรุษของ Mac OS และ Microsoft Windows) ทีมนักวิจัยได้สร้างภาษาใหม่ชื่อ Smalltalk (สมอลทอล์ค) เพื่อให้เหมาะกับการเขียนโปรแกรมแบบ GUI ภาษานี้ได้รับอิทธิพลจากภาษา Simula อย่างมาก
ภาษา Smalltalk บนเครื่อง Alto ในปี ค.ศ. 1970
แนวคิด OOP เริ่มเบ่งบานเต็มที่ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เมื่อบริษัทแอปเปิลและบริษัทไมโครซอฟท์ต่างผลิตระบบปฏิบัติการที่เป็น GUI ออกสู่ท้องตลาด และมีภาษาแบบ OOP เกิดขึ้นใหม่จำนวนมาก เช่น ภาษา Objective C, Modula-2 และ Eiffel แนวคิด OOP ขึ้นถึงจุดสุดยอดใน ค.ศ. 1983 เมื่อ Bjarne Stroustrup นักวิทยาศาสตร์แห่งห้องทดลอง เบลล์ ได้สร้างภาษา C++ ซึ่ง Bjarne ให้นิยามว่าเป็น “ภาษาซีที่มีคลาส”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น